ปัจจุบันการจัดฟันเป็นที่นิยมในวัยรุ่นเพื่อแก้ไขการเรียงตัวของฟันและโครงสร้างใบหน้าที่ผิดปกติ จริงๆ แล้วการจัดฟันสามารถทำได้ทุกช่วงอายุไม่ใช่เฉพาะวัยรุ่นเท่านั้น การจัดฟันจำเป็นต้องได้รับข้อมูลและเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการจัดฟันโดยปรึกษาและวางแผนการรักษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการจัดฟันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการรักษา
- ฟันเรียงตัวดีขึ้น
- ปรับสมดุลผิวหน้า
- รับแรงบดเคี้ยวอย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดปัญหาโรคฟันผุและเหงือกอักเสบจากการทำความสะอาดฟันและเหงือกที่ไม่ถูกวิธีเนื่องจากการเรียงของฟันผิดตำแหน่ง
- ลดการออกเสียงที่ไม่ชัดเจนเนื่องจากช่องว่างของฟัน
- ปรับให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนใส่ฟันปลอมหรือรากฟันเทียม
- หลีกเลี่ยงการสึกกร่อนของฟันจากการบดเคี้ยวที่ไม่เหมาะสม
- เสริมสร้างบุคลิกภาพและเพิ่มความมั่นใจ
- ปรึกษากับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการจัดฟัน
- ทันตแพทย์จัดฟันตรวจสอบการบดเคี้ยว
- เอ็กซเรย์แบบพาโนรามาและเซฟาโลเมตริก
- พิมพ์ปากเพื่อทำโมเดลเริ่มต้นก่อนการจัดฟัน
- วางแผนการรักษาร่วมกับทันตแพทย์จัดฟัน
- ทันตแพทย์ทั่วไปตรวจสุขภาพช่องปาก และทำการเตรียมช่องปากให้สะอาดก่อนติดเครื่องมือจัดฟัน (ฟันและเหงือกควรแข็งแรงก่อนเริ่มจัดฟัน)
*** ตรวจสอบรายชื่อทันตแพทย์จัดฟันที่สมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งประเทศไทยรับรองได้ที่ www.thaiortho.org
อายุไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดฟัน อย่างไรก็ตามอัตราการเคลื่อนฟันของผู้ใหญ่จะช้ากว่าเด็กและมีโอกาสเกิดภาวะเหงือกร่นได้มากกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกระดูกที่รองรับ ระดับความซ้อนเกของฟันและสุขภาพช่องปาก ทั้งก่อนและระหว่างการจัดฟัน
เด็กควรได้รับการตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติของการสบฟันในระดับไม่รุนแรง หรือไม่มีความผิดปกติ ของขากรรไกรร่วมด้วย มักจะเริ่มจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาการสบฟันเมื่อฟันน้ำนมซี่สุดท้ายหลุด หรืออายุประมาณ 11-12ปี
แต่หากมีอาการผิดปกติของขากรรไกรจนถึงขั้นรุนแรง หรือพบสัญญาณของความผิดปกติของขากรรไกรที่อาจรุนแรงขึ้น หรือการสบฟันที่ผิดปกตินั้นส่งผลต่อการดำรงชีวิต การจัดฟันอาจเริ่มรักษาได้เฉพาะบริเวณ ตั้งแต่อายุ 8 ปี
1.การจัดฟันแบบติดแน่น (Fixed Appliance) ใช้ติดกับฟันตลอดเวลา ไม่สามารถถอดออกเองได้

1.1 จัดฟันโลหะ (Metal Braces)
• ลักษณะ: ใช้แบร็กเก็ตโลหะและลวดร่วมกับยางรัดสีต่าง ๆ
• ข้อดี: ราคาประหยัดที่สุด, ทนทาน, แก้ปัญหาฟันซับซ้อนได้ดี
• ข้อเสีย: เห็นชัด, อาจทำให้ระคายเคืองกระพุ้งแก้ม

1.2 จัดฟันเซรามิก/แบบใส (Ceramic Braces)
• ลักษณะ: ตัวแบร็กเก็ตทำจากเซรามิกหรือวัสดุใสใกล้เคียงสีฟัน
• ข้อดี: ดูสวยงามกว่าแบร็กเก็ตโลหะ, เหมาะสำหรับผู้ใหญ่
• ข้อเสีย: ราคาแพงกว่าโลหะ, วัสดุเปราะบางกว่า

1.3 Self-ligating Braces (Damon / SmartClip ฯลฯ)
• ลักษณะ: เป็นระบบที่ไม่ต้องใช้ยางรัด เพราะแบร็กเก็ตมี “คลิป” ล็อกลวด
• ข้อดี: ลดแรงเสียดทาน, เคลื่อนฟันได้รวดเร็วขึ้นในบางกรณี, มีค่าองศาของเครื่องมือให้เลือกหลายแบบให้เหมาะกับ ลักษณะฟันคนไข้แต่ละคน, มีคุณสมบัติช่วยในการขยายขากรรไกรเพื่อใช้ในคนไข้ที่ฟันซ้อนเก ช่วยลดโอกาสในการถอนฟัน, พบทันตแพทย์น้อยครั้งกว่า
• ข้อเสีย: ราคาสูงกว่า

2. การจัดฟันแบบถอดได้ (Removable Appliance / Aligners)
ผู้ป่วยสามารถถอดออกเองได้
2.1 จัดฟันแบบใส (Clear Aligners เช่น Invisalign, Clear Correct ฯลฯ)
• ลักษณะ: ใช้ชุดเครื่องมือพลาสติกใสเป็นชุด ๆ ตามแผนการรักษา
• ข้อดี: สวยงาม แทบมองไม่เห็น, ถอดทานอาหารและทำความสะอาดง่าย, เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการให้เห็นเครื่องมืจัดฟัน
• ข้อเสีย: ราคาสูง, ต้องมีวินัยใส่อย่างน้อย 20–22 ชม./วัน, ไม่เหมาะกับทุกเคส (โดยเฉพาะฟันซับซ้อนมาก)

2.2 เครื่องมือถอดได้ธรรมดา (Removable Plate Appliance)
• ลักษณะ: ใช้แผ่นอะคริลิกใส่ในช่องปาก มีสปริงหรือสกรูขยายฟัน/ขากรรไกร
• ข้อดี: ใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะตำแหน่งง่าย ๆ หรือในเด็กที่ขากรรไกรกำลังเจริญเติบโต
• ข้อเสีย: ไม่สามารถเคลื่อนฟันที่ซับซ้อนได้, ผลลัพธ์ขึ้นกับความร่วมมือของผู้ป่วย

3. การจัดฟันด้านใน (Lingual Braces)
• ลักษณะ: ติดแบร็กเก็ตด้านหลังฟัน
• ข้อดี: มองไม่เห็นจากด้านหน้าเลย, ความสวยงามสูงสุด
• ข้อเสีย: ราคาสูงมาก, พูดไม่ชัดช่วงแรก, ทำความสะอาดยาก, แก้ไขบางเคสได้ช้ากว่า ในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว

4. เครื่องมือเสริมการรักษา (Auxiliary Appliances)
ใช้ร่วมกับการจัดฟันหลัก
• Headgear / Face mask: ควบคุมการเจริญเติบโตของขากรรไกรในเด็ก
• Mini-screw / Mini-implant (TADs): สกรูเล็ก ๆ ฝังในกระดูกเพื่อเป็นหลักยึด ช่วยดึงฟันให้เคลื่อนที่ได้แม่นยำขึ้น
• Retainer (เครื่องมือคงสภาพฟัน): ใส่หลังการจัดฟัน เพื่อป้องกันฟันเคลื่อนกลับ มีทั้งแบบถอดได้และยึดติดแน่น

กลไกการเคลื่อนฟัน (Orthodontic Tooth Movement)
1. แรงที่ควบคุมและต่อเนื่อง
ทันตแพทย์จัดฟันมักใช้แรงที่อ่อนๆ แต่สม่ำเสมอ เช่น ผ่านการปรับสายลวด (archwire) หรือใส่ถาดแบบใส (aligners) เพื่อนำฟันไปยังตำแหน่งที่ต้องการ การใช้แรงที่มากเกินไปอาจทำให้เนื้อเยื่อเสียหาย ขณะที่แรงที่น้อยเกินไปจะเคลื่อนฟันได้ช้า ไม่เกิดผลชัดเจน
2. การบีบอัดและการยืดของเส้นใยเพอริโอดอนทัล (Periodontal Ligament – PDL)
เมื่อมีแรงกดหนึ่งด้านของฟัน จะเกิดการบีบอัดของเส้นใยและเนื้อเยื่อเพอริโอดอนทัล ในขณะเดียวกันอีกด้านจะยืดออก ซึ่งกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญใน remodeling ของกระดูก
• ฝั่งที่ถูกบีบอัด → กระตุ้น osteoclasts (เซลล์ทำลายกระดูก)
• ฝั่งที่ถูกยืด → กระตุ้น osteoblasts (เซลล์สร้างกระดูกใหม่)
ผลลัพธ์คือ ฟันเคลื่อนไปยังตำแหน่งใหม่ และกระดูกรอบฟันสร้างซ้ำอย่างปลอดภัย
3. การปรับโครงสร้างกระดูก (Bone Remodeling)
กระดูกเดิมบนด้านที่ถูกบีบอัดจะถูก resorption (สลาย) โดย osteoclasts และด้านที่ถูกดึงจะมีการ deposition (สร้าง) กระดูกใหม่โดย osteoblasts ขบวนการนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ฟันเคลื่อนที่ได้อย่างปลอดภัยและคงที่ในระยะยาว
ทิป: การเคี้ยวอาหารอ่อนในวันรุ่งขึ้นหลังจากปรับอุปกรณ์จะช่วยให้อาการปวดดีขึ้น การเคี้ยวบ่อยๆ และช้าๆ จะช่วยเคลื่อนฟันบริเวณที่กดและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
ระยะเวลาในการจัดฟันขึ้นอยู่กับความผิดปกติของการบดเคี้ยว การจัดฟันแบบติดแน่นโดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี และต้องนัดทุก 4-6 สัปดาห์เพื่อปรับเครื่องมือ
ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการจัดฟัน เช่น:
- กล้ามเนื้อต้านการเคลื่อนของฟัน เช่น การนอนกัดฟัน เหงือกร่น และลิ้นดันฟันขณะพูดและกลืน
- อัตราการเจริญเติบโตของขากรรไกร
- ความร่วมมือในการนัดหมายกับทันตแพทย์
- ให้ความร่วมมือในการใส่ยางดึงฟันหรือเครื่องใช้ต่างๆ
- การดูแลสุขอนามัยช่องปาก
การผ่าตัดศัลยกรรมขากรรไกร (Orthognathic Surgery) เป็นวิธีแก้ไขโครงหน้าและการสบฟันที่ผิดปกติ เมื่อมีความผิดปกติของกระดูกขากรรไกรร่วมด้วย ซึ่งการจัดฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการจัดฟันร่วมกับการผ่าตัดขากรรไกร เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงามและดีที่สุด

1. ฟันบนยื่น (ขากรรไกรบนยื่น)
• ลักษณะ: ฟันบนยื่นออกมาชัด ทำให้ปิดปากไม่สนิท หรือใบหน้าเหมือน “ปากยื่น”
• วิธีแก้: ผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรบนเข้าด้านใน

2. คางสั้น (ขากรรไกรล่างถอย)
• ลักษณะ: คางถอย ทำให้ใบหน้าดูไม่มีมิติ การสบฟันไม่สัมพันธ์
• วิธีแก้: ผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรล่างมาด้านหน้า หรือเสริมคาง (Genioplasty)

3. ฟันล่างคร่อมฟันบน (Underbite)
• ลักษณะ: ฟันล่างยื่นออกมาด้านหน้า คร่อมฟันบน ทำให้ใบหน้าดู “คางยื่น” และมีปัญหาการเคี้ยว
• วิธีแก้: ผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรล่างถอยหลัง หรือผ่าตัดปรับทั้งบนและล่างร่วมกัน

4. ยิ้มเห็นเหงือก (Gummy Smile)
• ลักษณะ: ยิ้มแล้วเห็นเหงือกมากเกินไป เกิดจากขากรรไกรบนยาว
• วิธีแก้: ผ่าตัดยก/ปรับตำแหน่งขากรรไกรบนให้ได้สัดส่วน

5. ฟันยื่นทั้งขากรรไกรบนและล่าง (Bimaxillary Protrusion)
• ลักษณะ: ทั้งฟันบนและล่างยื่นออกมาพร้อมกัน ทำให้ริมฝีปากปิดยาก
• วิธีแก้: ผ่าตัดเลื่อนทั้งขากรรไกรบนและล่างเข้าไปด้านใน
คนไข้จะได้รับการวางแผนการรักษากับทีมทันตแพทย์มืออาชีพ ทั้งศัลยแพทย์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล ทันตแพทย์จัดฟัน และทันตแพทย์ทั่วไป
การรักษา มี 3 ขั้นตอน
1. การจัดฟันแบบ Presurgical
เป็นการปรับตำแหน่งของฟันในแต่ละขากรรไกรให้อยู่ในแนวที่เหมาะสมและสัมพันธ์กับกระดูก แต่การสบของฟันบนและฟันล่างจะยังคงไม่สัมพันธ์กัน เป็นการจัดฟันเพื่อเตรียมพร้อมก่อนการผ่าตัด ซึ่งในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี

2. ศัลยกรรมขากรรไกร:
ผ่าตัดกระดูกขากรรไกรและพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 1-4 วัน และพักฟื้นที่บ้านประมาณ 2-4 สัปดาห์

3. การจัดฟันหลังการผ่าตัด: เพื่อให้การสบฟันสมบูรณ์ประมาณ 6 เดือน

- ต้องระมัดระวังในการหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียวซึ่งอาจทำให้เครื่องมือจัดฟันเสียหายได้ เครื่องมือจัดฟันที่เสียหายจะทำให้การรักษาใช้เวลานานขึ้น
- ฟันและเครื่องมือจัดฟันจำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการทำความสะอาดฟันและเครื่องมือจัดฟันเพื่อรักษาสุขภาพช่องปากที่ดี
- การรักษาทางทันตกรรมจัดฟันให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของทั้งทันตแพทย์จัดฟันและผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ การวางแผนร่วมกันและนัดหมายให้เป็นไปตามกำหนดเป็นสิ่งสำคัญ
